Moving Average Convergence Divergence (MACD)
เป็นเครื่องมือวัดความแรงของตลาด ซึ่งได้คำนวณค่าจากเส้นการเคลื่อนที่ของราคา 2เส้นMACD ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ เส้น Moving Average , Signal Line , และ Histogram ดังรูปด้านล่างจากรูปด้านบน EUR/USD 4 Hours กราฟแบบแท่งเทียน(Candlestick)
เส้นสีแดงเป็น Signal Line
เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้น Moving Average
ส่วนสีเงินเป็น Histogram ฺBar
MACD จะ แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ด้านบนและด้านล่าง โดยมีเส้น Zero Line กลั้นอยู่ โดยด้านบนเราจะเรียกว่า แดนบวก( Bullish zone) และด้านล่างจะเรียกว่า แดนลบ (Bearish Zone)
พิจาณารปด้านบน
จากหมายเลข 1 เราจะเห็นว่า เส้น Moving Average สีน้ำเงิน ตัดกับเส้น Signal Line สีแดง เมื่อ ตัดผ่าน เราก็เข้าซื้อ (Buy/Long) กันได้เลย เมื่อเข้าแล้ว ถ้าราคาเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นก็ปล่อยไปเรื่อยๆ หรืออาจจตั้งเป้าหมายเอาไว้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของทุกท่านว่าจะเอาเท่าไร เราจะปิดก็ต่อเมื่อเส้นสีน้ำเงิน ตัดกับ เ้ส้นสีแดงอีกครั้ง เราก็ทำการปิดออเดอร์ดังรูปหมายเลข 2 จากนั้น ก็รอหาจังหวะในการเข้าทำกำไรใหม่อีกครั้ง จะเห็นว่า หมายเลข2 เป็นสัญญาณขาย ( Sell/ Short) เราก็เซลเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดง และรอปิดเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดสีแดงอีกครั้ง เราจะเห็นว่าช่วงที่ 2- 3 ไม่น่าเปิดออเดอร์
ต่อไป เรามาทำการพิจารณา Histogram ในช่วงหมายเลข 2 ถึง หมายเลข 3 จะพบว่า Histogram(สีเงิน) ทำยอดคลื่นต่ำลงเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ราคาในขาขึ้นเริ่มหมดแรงแล้ว ในภาษาทางเทคนิค เรียกกันว่า Divergence ราคายังเป็นขาขึ้นอยู่ แต่ Macd-Histogram เริ่มปรับตัวลง เราก็เริ่มมองหาสัญญาณขาย( Sell/Short) กันได้เลย ดังหมายเลข 3 สีน้ำเงินตัดกับสีแดง สัญญาณConfirm ว่าให้ Sell คือหมายเลข 7 ตำแหน่งนี้เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนมากเพราะเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดกับ Zero Line ซึ่งหมายความว่าตลาดได้เข้าสู่สภาวะกระทิง (ฺำBearish Market) ตลาดขาลง เมื่อเรา Sell แล้วก็ปล่อยให้ราคาวิ่งไปเรื่อย เมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดเส้นสีแดงอีกครั้งเราก็ทำการปิดออเดอร์ และรอจังหวะ เพื่อ ที่จะซื้อกลับอีกรอบ
ต่อไปเรามาพิจารณาหมายเลข 4 และหมายเลข 5 จะดังเกตว่า Histogram ทำการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ในขณที่ราคาด้านบนก็ยังมีการปรับตัวลง นี่คือ Divergence bullish เราจะเห็นว่า สันคลื่นของหมายเลข 5 สูงกว่า หมายเลข 4 นั่นหมายความว่า ราคาจะเกิดการกลับตัวในไม่ช้า เราจะรู้ได้ไงว่าราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง เราก็ดูการตัดกันของเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดงเหมือนเดิม ถ้าสีน้ำเงินตัดสีแดงขึ้น ก็ทำการ ซื้อ Buy กันได้เลย เมื่อเราได้ทำการซื้อ ฺBuy ในหมายเลข 5 สัญญาณ คอนเฟริม ก็คือ เส้นสีน้ำเงินและ Histogram ได้ตัดเส้น Zero Line ขึ้นไป(หมายเลข 6 ) หมายเลข 6 จะเป็นตำแหน่งซื้อ Buy ที่ปลอดภัย เพราะตลาดได้เข้าสู่สภาวะขาขึ้น ( Bullish Market) นักลงทุนบางคนจะรอเข้า แค่ตรงนี้เพราะพวกเขาถือว่า เปิดออเดอร์ในราคาที่ปลอดภัยดีกว่าเิปิดออเดอร์ในราคาที่สวย
เราจะเห็นว่า MACD จะวิ่งเป็นรอบ ขึ้น ลง ขึ้น MACD ให้สัญญาณช้า แต่ว่ามีความแม่นตรงค่อนข้างสูง มันจึงถูกยกย่องให้เป็น อินดิเคเตอร์เทพ แห่งฟอเร็กซ์
การดู MACD นั้น ไม่ยาก แค่ดูการตัดกันไปตัดกันมา ของเส้นสีน้ำเงินและสีแดง และ ดูว่าเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดผ่าน Zero Line เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำกำไรจาก ตลาด ฟอเร็กได้แน่นอน
รูปตัวอย่างการเทรดโดยใช้ MACD อย่างเดียว
Divergence Bulish คือ ราคาทำราคาต่ำสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเก่า แต่ Indicator ทำยอดสูงขึ้นเรื่อยๆ
Divergence Bearish คือ ราคาทำราคาสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเดิม แต่ Indicator ทำ ยอดต่ำลงมาเรื่อยๆ
Side way คือ ราคาวิ่งไปวิ่งมา ในกรอบราคาแคบๆ ไม่มีเทรนที่ชัดเจน ช่วงนี้ ไม่น่าเทรด เพราะอาจจะทำให้เราปวดหัวได้
Moving Average คือเส้นเฉลี่ยการเคลื่อนที่ซึ่งคำนวณมาจากราคาในแต่ละช่วงแล้วนำมาหาค่า เฉลี่ย
การใช้ Moving Average ในการทำกำไร เราจะใช้กับตลาดที่สามารถบอกเทรนได้ ไม่สามารถใช้กับตลาดที่ผันผวนมากๆแกว่งไปแกว่งมา ( Side way)
Moving Average ให้สัญญาณที่ช้า แต่ถ้าเราดูเป็นก็สามารถใช้มันในการเกร็งกำไรได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์ Moving Average
1. ใช้เป็นเส้นแนวรับแนวต้านได้
2. ใช้เพื่อดูแนวโน้ม
3. ใช้ Confirm สัญญาณการเข้าออก
Moving Average ที่่ใช้กันทั่วไป ใช้ แบบ Simple และ Exponential เรียกสั้นๆ ว่า SMA และ EMA
ผมจะยกตัวอย่าง Moving Average ที่ผมใช้ในการเกร็งกำไรนะครับ
Moving Averageที่ผมใช้เป็น แบบ Exponential มีค่า Period 5 , 21 , 55 , 110 และ 200 วัน ทำไมผมจึงเลือกใช้ Exponential ก็เพราะว่า EMA จะให้ค่าที่แม่นตรงกว่า SMA
เรามาดูวิธีการใช้กันเลย
1 . ใช้เพื่อดูแนวรับแนวต้าน(Support And Resistance)
การดูแนวรับแนวต้านเราจะดูที่ช่วงเวลา( Time Frame ) ใหญ่ๆ เพราะที่ช่วง TF ใหญ่ๆจะให้ค่าที่ค่อนข้างแม่นพอสมควร
เมื่อราคาวิ่งผ่าน EMA ไปแล้ว โดยส่วนใหญ่ มันจะวิ่งกลับมาหาเส้นที่มันทะลุอีกครั้งเพื่อทดสอบแนวรับแนวต้าน
ดูรูปประกอบด้านล่าง
จากรูปด้านบน เป็นกราฟ Daily ของ USD/JPY
สีน้ำเงิน เป็น เส้น EMA 5
สีแดง เป็น เส้น EMA 21
สีดำ เป็น เส้น EMA 55
สีส้ม เป็น เส้น EMA 110
สีน้ำตาลเป็น เส้น EMA 200
จากรูปด้านบนเราจะเห็นว่า เมื่อราคาได้ทะลุเส้น EMA แล้วมักจะกลับมาทดสอบอีกครั้ง ลองดูง่ายๆนะครับ เราจะเห็นกราฟ ยูเจ เป็นช่วงขาลง
และราคาได้ปรับตัวขึ้นไป เส้นแนวต้านเส้นแรกก็คือ EMA 5 ถ้าทะลุ เส้นนี้ก็ไป EMA 21 ถ้าทะลุ 21 ก็ไปหาเส้น 55 ถ้าทะลุก็ไปต่อเรื่อยๆ
เส้น EMA 200 จะเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งมาก ถ้าทะลุไปก็คือเปลี่ยนแนวโน้มทันที ห้ามสวนเทรน เราอาจจะใช้ เส้น EMA 200 เพื่อบอกเทรนก็ได้
เราสามารถประยุกต์ EMA นี้ ได้กับ ทุก Time Frame เพื่อทำกำไรในตลาดฟอเร็ก
2. เราจะใช้ EMA เพื่อบอกแนวโน้ม ดังรูปด้านล่าง
EMA สามารถบอกแนวโน้มเราได้ ว่าขณะนี้เป็น เทรนขึ้นหรือลง
แนวโน้มขั้น ( Up Trend) จะเป็นแนวโน้มขึ้นก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นขึ้นไปทั้งหมด และราคาปิดสามารถอยู่เหนือ EMA
(การดูแนวโน้ม ให้ดูที่กราฟ สี่ชั่วโมงขึ้นไป เพราะกราฟใหญ่ๆจะไม่หลอกเรา )
แนวโน้มลง (Down Trend ) จะเป็นแนวโน้มลงก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นลงมาทั้งหมด และราคาปิดอยู่ใต้เส้น EMA
3.ใช้ Confirm สัญญาณการเข้า-ออก เราสามารถใช้ EMA ในการซื้อขาย ได้ หลักการดูก็คือ ดูการตัดกันของ EMA โดยเริ่มจาก EMA ที่มีค่าน้อยตัด EMA ค่ามาก
เช่น EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดขึ้นไป เราก็เข้าซื้อ BUY/LONG หรือ EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดลงมาก เราก็เข้าขาย Sell/Short ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่าง
จากรูป
ดูที่ขอบด้านซ้าย EMA 5 เริ่มตัด เส้นEMA 21 นั้นเป็นสัญญาณบอกแล้วว่า แนวโน้มได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว และ เส้น EMA 5 ก็ทะลุเส้น EMA 21 , 55 ,100 ,200
เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่าเป็นแนวโน้มลงแน่นอน สังเกตุที่แท่งเทียน แท่งเทียนได้ทะลุ EMA 5 ลงมาแล้ว และมันก็กลับไปเทสที่ตัวมันเองอีกครั้งแต่ไม่ผ่าน แล้ว
ราคาก็ไต่ระดับลงมาอีกแล้วก็กลับไปทดสอบเส้น EMA 5 และ EMA 21 กราฟแบบนี้สวยมาก เป็นการลงต่อเนื่อง ไม่สามารถทะลุ EMA ที่มีค่าน้อยๆไปได้ นั่นหมายความว่า
ราคายังจะลงต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเส้น EMA 5 จะทะลุเส้น EMA 21 ขึ้นไป เราจึงมองว่ามันเป็นขาขึ้น อย่าสวนเทรนกันเด็ดขาด
เมื่อเรารู้แล้วว่าแนวโน้มใหญ่ไปทางไหน ขึ้นหรือลง เราก็มามองหาราคาที่เราจะเปิดออเดอร์ เราควรหาราคาเข้าที่ Time Frame เล็กๆ
เมื่อแนวโน้มของ Time Frame เล็กๆ ตรงกับ แนวโน้มของ Time Frame ใหญ่ เราจึงเปิดออเดอร์ ... ขอให้ทุกท่านโชคดี ครับ
การใช้ Stochastic
Stochastic เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการเกร็งกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ สโตเป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของตลาดซึ่งเหมาะกับตลาดไซว์เวย์ (Side way) ไซเวย์หมายความว่ามีการแปลงแปลงของราคาไม่มากนัก สโตเป็นเครื่องมือที่ไวเท่ากับราคา สัญญาณของสโตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการตัดกัน โดยส่วนมาก ผมจะใช้ สโต ในการดู
Overbought / Oversold และ การดู Diverge
สัญลักษณ์ ที่ผมใช้เพื่อให้เข้้าใจกันทุกคนนะครับ
OB=Overbought สัญญาณแรงซื้อเยอะเกินไปแล้ว
OS=Oversold สัญญาณการขายเยอะเกินไปแล้ว
DVB=Divergence Bullish สัญญาณกลับตัวของขาขึ้น
DVBr=Divergence Bearish สัญญาณการกลับตัวของขาลง
มาดดูภาพด้านล่าง ประกอบเลยนะครับ
จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ผมได้กำหนดให้เส้นปะสีขาว ที่ระดับ 80 เป็น เขต OB และ เส้นประสีขาวด้านล่างที่ระดับ 20 เป็นเขต OS ซึ่งสโตในรูปผมได้ตั้งค่าไว้ที่
8 3 3 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป มีเส้นสีขาวและสีแดง เป็นเส้นสัญญาณในการพิจาณา ซึ่งดูจากการตัดกันของเส้น
การดู stochastic
1.เมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้วิ่่งเข้าสู่ เขต OB ระดับ 80 แล้ว เราก็เริ่มพิจาณากันได้เลยว่า การขึ้นมาของราคาเริ่มจะสิ้นสุดลงแล้ว ให้เตรียมปิดออเดอร์ เมื่อเริ่มมีสัญญาณการกลับตัวนั่นก็คือ เส้นสัญญาณท้งสองเส้นเริ่มตัดกันให้เราปิด ออเดอร์ ที่เรา Buy มาทันที และเตรียมหาสัญญาณ Sell เมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้ตัดกันเรียบร้อยแล้ว
2.เมื่อเส้นสัญาณทั้งสองเส้นได้วิ่งเข้าสู่เขต OS ระดับ 20 แล้ว มันเป็นสัญญาณบอกเราว่า การลงมาของราคาไดใกล้สิ้นสุดแล้ว ให้เราเตรียมปิดออเดอร์ที่เราได้ Sell
มา แล้วเตรียมหาโอกาสเมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้กลับตัวแล้วมีการตัดกันเกิด ขึ้น แล้วเราก็เปิด order buy ทันที
3. การดู Divergence ไดเวอร์เจนดูได้สองแบบคือ ดูไดขาขึ้น และไดขาลง ไดขาขึ้นเรียกว่า Divergence Bullish ไดขาลงเรียกว่า Divergence Bearish
การดูไดขาขึ้น DVB จากรูปเห็นเส้นสีเหลืองกันมั้ยครับ นั่นแหระครับ คือ Divergence ไดเวอร์เจ้นเป็นการลากจุดสองจุดเทียบกัน โดยมีข้อกำหนดที่ว่า ยอดแรกและยอดที่สองต้องไม่เท่ากัน จึงจะเรียกว่าไดเวอร์เจน การดูไดขาขึ้นก็ลากสองยอดเทียบกัน โดยให้ ความชันมีค่าเป็นบวก ถ้าสัญญาณได้เกิดไดเวอร์เจนนั่นก็หมายความว่าราคาจะมีการกลับตัวในไม่ช้า เตรียมเปิดออเดอร์กันได้เลย การใช้ sto ดูไดเวอร์เจนจะไม่ค่อยชัดเจนเหมือนดูจาก CCI , RSI , และ MACD เพราะ stochastic จะเน้นไปทางการดู
Overbought/ Oversold มากกว่า และดูจากการตัดกันของ เส้นสัญญาณทั้งสองเ้ส้นด้วย เพียงแค่นี้เราก็สามารถเกร็งกำไรจากตลาดฟอเร็กโดยใช้ stochastic กันได้แล้ว
การใช้ Rsi ( Relative Strength Index) RSI เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของตลาดอีกเหมือนกัน ซึ่ง RSI จะให้สัญญาณที่ช้ากว่า อินดิเคเตอร์ตัวอื่นๆ แต่เป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างที่จะแม่นยำเลยทีเดียว การใช้ RSI
โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้ ดู Overbought /Oversold เหมือนกัน และดู Divergence เช่นเดียวกัน การดูDivergence ด้วย RSI เป็นที่นิยมกันมาก เพราะมันจะให้ค่าที่แม่นตรง
มากๆ โอกาสที่จะพลาดมีน้อย เพราะว่า RSI จะวิ่งเป็นรอบที่ใหญ่มากตามค่าที่เราตั้ง ถ้าเราตั้งค่า 14 ราคาวิ่งลงหนึ่งรอบ rsi จะวิ่งแค่สองรอบ ซึ่งแตกต่างจาก sto ที่วิ่งเป็น สิบๆรอบ นี่คือเหตผลที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้ RSI เป็นเครื่องมือในการทำกำไร
RSI ที่ใช้กันส่วนใหญ่ คือ 9 และ 14 วัน เป็นค่าที่มาตรฐานที่สุด
สัญญาณการกลับตัว เมื่อ RSI เข้าสู่ระดับ 70 ให้เราเตรียมตัวออกจากออเดอร์ที่เราได้ เปิด Buy ไว้ แล้วก็หาจังหวะ Sell
สัญญาณการกลับตัวเมื่อ RSi เข้าสู่ระดับ 30 ให้เราเตรียมตัวออกจากออเดอร์ที่เราได้ เปิด Sell ไว้ แล้วก็หาจังหวะ Buy
การหาจังหวะเข้า Sell ต้องรอให้ RSI หัดหัวลงก่อนนะครับ เปิดดูที่กราฟ TF ใหญ่ๆก่อนว่ามันหักลงหรือป่าว ถ้าหัก เราก็เปิด หา สัญญาณจาก TFเล็กๆ ถ้าหักลงตามกัน
เราก็จึงหาจังหวะ Sell ในขณะเดียวกัน จังหวะบายก็ทำเหมือนกัน
ภาพตัวอย่างของการใช้ RSI
เส้นแนวโน้ม ( Trendline) เป็นเครืื่องมือที่ใช้ดูแนวโน้ม จุดกลับตัว และจุดเข้าจุดออก ในการเล่นฟอเร็กซ์ เทรนไลน์เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากสำหรับ Trader การใช้เทรนไลน์วัดแนวโน้ม สามารถลากได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การลากแนวโน้มขาขึ้น และลากแนวโน้มขาลง
แนวโน้มขาขึ้นคือการลากจากจุดต่ำสุดเก่ามา หาจุดต่ำสุดใหม่ โดยที่จุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า และแนวรับของแนวโน้มขาขึ้นเราจะเรียกว่า Support Trendline
แนวโน้มขาลงคือ การลากจากจุดสูงสุดเก่ามาหาสุดสูงสุดใหม่ โดยที่จุดสูงสุดเก่าต้องต่ำกว่าจุดสูงใหม่ใหม่ และแนวต้านของแนวโน้มขาลงเราจะเรียกว่า Resistance Trendline
การลากเทรนไลน์เพื่อหาแนวรับแนวต้าน เราสามารถลากได้ทุกช่วงเวลา ( Time Frame ) ลากที่ Time Frame เล็กๆ ตั้งแต่ 5 นาทีจนถึง 1 ชั่วโมง เราจะเรียกว่าแนวรับแนวต้านรอง Minor Support Trendline & Minor Resistance Trendline และแนวรับแนวต้านหลัก คือการลาก ตั้งแต่ช่วงเวลา 4 H ไปจนถึง Month เราจะเรียกว่า Major Support Trendline & Major Resistance Trendline
ผมจะยกตัวอย่างการลากเทรนไลน์ขาขึ้นนะครับ เป็นกราฟของ GBP/USD โดยการลากที่ 5 นาทีก่อนนะครับ
GBP/USD 5 Min
จะเห็นว่าผมเริ่มลากเทรนไลน์ จาหมายเลข 1 โดยที่ลากผ่านหมายเลข 2 ขึ้นไป แล้วเราก็รอจนราคาลงมาทดสอบเส้นเทรนไลน์ของเราอีักครั้ง ถ้าราคาลงมาทดสอบแล้วไม่สามารถผ่านเส้้นเทรนไลน์ที่ลากไว้ได้ ก็ เราก็จะ Buy ขึ้นไป แต่ถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นเทรนไลน์ลงมาได้ เราก็รอดูสัญญาณการกลับไปทดสอบเส้นเทรนไลน์อีกครั้ง( Retest) ถ้าไม่สามารถเทสผ่านได้ เราก็เปิด order sell กันได้เลย
เมื่อเปิดออเดอร์ sell กันแล้ว หลังจากนั้นเราก็มาเปิดที่ ช่วงเวลา 15 นาที จากนั้นก็ทำการลากเทรนไลน์เหมือนเดิม เพื่อหาแนวรับ ( Minor Support Trendline ) ดูรูปประกอบกันเลยนะครับ
GBP/USD 15 Min
จากรูปด้านบน จะเห็นว่า เส้นสีแดงคือเส้นที่เราขีดไว้ตั้งแต่กราฟ 5 นาที แต่สีน้ำเงินเราได้ลากเทรนไลน์เพื่อหาแนวรับในกราฟ 15 นาที ซึี่งราคาได้ลงมาชนเส้นเทรนไลน์ แล้วเราก็ดูว่า ราคาจะสามารถทะลุผ่านเส้นเทรนไลน์ 15 นาทีของเราได้หรือไม่ ถ้าราคาสามารถผ่านได้เราก็ถือ Order sell ต่อ แต่ถ้าไม่สามารถผ่านได้ เราก็ปิดออเดอร์ Sell แล้วหาจังหวะเพื่อเปิดออเดอร์ Buyกันต่อไป จะเห็นว่าเมื่อราคาลงมาชนเส้นแนวมีการปรับตัวขึ้นไปทันที
จากรูป Resistance Trendline สามารถเลื่อนไปตามราคาได้ แนวต้านจะอยู่ประมาณเส้นที่ผมได้ทำลูกศรไว้ มาดูรูปด้านล่างเลยครับ จะเห็นว่าราคาเมื่อขึ้นมาชน Resistance Trendline แล้ว มีการกลับตัวทันที ซึ่งจุดนี้จึงเป็นจุดบอกการกลับตัวของราคาได้ครับ เมื่อราคาไม่สามารถผ่านจุดนี้ หรือราคาของแท่งเทียนไม่สามารถปิดสงกว่าเส้นแนวโน้มเส้นนี้ เราก็หาจังหวะ Sell กันได้เลยครับ ถ้าราคาไม่ลงตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็ Cut Loss เมื่อราคาทะลุเส้นนี้ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ก็ปล่อยราคาลงจนเราพอใจ หรือไม่ก็รอจนกว่าจะมีการดีดกลับอีกครั้ง เราจึงปิดออเดอร์ Sell ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น